โพสต์โดย : Admin เมื่อ 28 ส.ค. 2566 10:45:11 น. เข้าชม 189747 ครั้ง
แฉครูพละหื่น ทำเด็กท้องและยังอยู่กินกับเด็ก ม.2 ทั้งที่มีลูกเมียแล้ว ล่าสุดผู้ว่าฯ สั่งสอบ พบมีเด็ก ม.2, ม.3 นักกีฬาฟุตบอลในโรงเรียน ตกเป็นเหยื่อนับ 10 ราย และล่วงละเมิดเด็ก ม.2 ท้องไม่มีพ่ออีก 1 ราย จนทนอับอายไม่ไหว หนีไปอยู่ กทม. ด้านบ้านพักเด็กฯ เร่งตรวจสอบ พบยังมีผู้ตกเป็นเหยื่ออีกเพียบ
กรณีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 66 ผู้ปกครองนักเรียนในหมู่บ้านในชนบทบนเทือกเขาภูแลนคา ต.วังชมภู อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ ออกมาแฉพฤติกรรมครูพละหื่น หลอกล่วงละเมิด ทำอนาจารเด็กนักเรียนหญิง ม.2 โรงเรียนชื่อดัง ก่อนแจ้งผู้ใหญ่บ้านเอาผิดพร้อมถ่ายภาพคลิปขณะตกลงค่าเสียหาย และรับปากจะขอย้ายตัวเองออกจากโรงเรียนขยายโอกาสประถมศึกษาแห่งหนึ่ง แต่กลับไม่ทำตามสัญญาข้อตกลงกับผู้ปกครอง ยังมาสอนหนังสือและก่อเหตุกับลูกศิษย์สาวนักเรียน ม.2 และ ม.3 อีกหลายราย หากพ่อแม่ผู้ปกครองโวยวาย ก็จะให้เงินปิดปาก พร้อมรับปากว่าจะขอย้ายตัวเองออกนอกพื้นที่อีก แต่ก็ไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนชาวบ้านพ่อแม่ผู้ปกครองสุดทน และกลัวจะล่วงละเมิดทำอนาจาร สร้างตราบาปให้กับลูกหลานเด็กนักเรียนหมู่บ้านตำบลดังกล่าวอีก จึงนำคลิปออกมาแฉให้ผู้สื่อข่าวลงไปตรวจสอบ ตีแผ่ให้ผู้บริหารระดับจังหวัดลงมาให้การช่วยเหลือด่วน
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ สั่งการให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชัยภูมิ เร่งให้ นายนิวัฒน์ แก้วเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 ตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนหาข้อเท็จจริง พร้อมรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิทราบโดยด่วน
ด้าน นางสาวภัทรานิษฐ์ ก่อกุศล หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า หลังทราบเรื่องได้ลงพื้นที่หาแนวทางช่วยเหลือและดูแลเยียวยาสภาพจิตใจนักเรียนหญิง ม.2 โรงเรียนประถมศึกษา หมู่บ้านในชนบทบนเทือกเขาภูแลนคา ต.วังชมภู อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ ที่ถูกครูพละหลอกล่วงละเมิด ทำอนาจาร และผู้ปกครองแจ้งผู้ใหญ่บ้านเอาผิด พร้อมถ่ายภาพคลิปขณะตกลงค่าเสียหาย ซึ่งครูรับปากกับผู้ปกครองว่า จะขอย้ายตัวเองออกจากโรงเรียน แต่ยังกลับมาสอนเด็กนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนประศึกษาขยายโอกาสแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้หมู่บ้านของนักเรียนเหยื่อเคราะห์ร้าย
“ที่สำคัญ ครูพละผู้นี้ได้ก่อเหตุกับลูกศิษย์สาวนักเรียน ม.2 และ ม.3 ที่เป็นนักกีฬาฟุตบอลหญิงของโรงเรียนอีกหลายราย หากพ่อแม่ผู้ปกครองจะจับได้และโวยวายขึ้น ก็จะยอมรับผิดในการกระทำของตน และยกมือไหว้พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กเพื่อขอโทษ พร้อมยินยอมจ่ายค่าเสียหายให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองไปเป็นเงิน 50,000 บาท รับปากจะขอย้ายตัวเองออกนอกพื้นที่ ก่อนจะทำบันทึกข้อตกลงกันกับพ่อแม่เด็กผู้เสียหาย ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านฯ แต่ก็กลับไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ จนสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน พ่อแม่ผู้ปกครองหลายครอบครัวหลายราย ต่างกลัวว่าครูพละหื่นจะมาก่อเหตุสร้างตราบาปกับลูกหลานในหมู่บ้านเพิ่มอีก จึงออกมาแฉถึงพฤติกรรมครูพละรายนี้ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม.2 อายุ 12 ปี นักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน ถูกลวนลามกระทำชำเราตีตราบาปจนตั้งท้อง เมื่อเรื่องทราบถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูพละก็จะใช้เงินฟาดหัวชดใช้เงินให้เป็นค่าทำขวัญไป 50,000 บาท ก่อนผู้ปกครองจะนำตัวเด็กไปอาศัยอยู่กับครอบครัวที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งเด็กคลอดลูกออกมา หลังจากนั้น ยังได้มาก่อเหตุกับเด็กนักเรียนหญิงที่เป็นเพื่อนสาวที่บ้านอยู่ข้างๆ กันอีก หลังเรื่องแดงขึ้น พ่อแม่เด็กคนที่ 2 ไม่ยอม เรียกร้องเงิน 100,000 บาท พร้อมบังคับให้ครูพละมาสู่ขอแต่งงานกันที่บ้าน ก่อนพ่อแม่เด็กจะให้ลูกสาวแยกทางกับครูพละ และนำลูกสาวไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ”
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กฯ ชัยภูมิ ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวอีกว่า ยังมีเด็กนักเรียนหญิงในโรงเรียนดังกล่าว จำนวนนับ 10 ราย ที่จบการศึกษาไปแล้ว และยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนฉาวอีกจำนวนมาก ก็ถูกครูที่เคยเป็นครูสอนวิชาพละอยู่ที่โรงเรียนประถม และหลังจบการศึกษาจากโรงเรียนประถมแล้วมาเรียนต่อที่โรงเรียนขยายโอกาสในชั้นมัธยม ออกอุบายชักชวนให้มาเป็นนักกีฬาฟุตบอลในชมรมฟุตบอลโรงเรียน หลอกว่าจะให้เงินพาไปซื้อรองเท้าสตั้คฟุตบอลให้ บางก็ซื้อมือถือราคาแพงให้ รวมทั้งพาไปเที่ยวตามสถานบันเทิงในอำเภอใกล้เคียง ก่อนจะลงมือทำอนาจารเด็ก บางรายถึงกับขอร่วมเพศจนเด็กนักเรียนตั้งท้อง ก่อนจะมาขอโทษพ่อแม่ผู้ปกครอง และใช้เงินฟาดหัว ยอมจ่ายเงินค่าทำขวัญเพื่อปิดปากพ่อแม่
ล่าสุด พบว่าครูพละและผู้นำชุมชน ซึ่งมีอิทธิพลในพื้นที่ นำสมุนออกล่ามือดีนำข่าวไปแจ้งนักข่าว โดยออกตระเวนสอบถามคุกคามแหล่งข่าว สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน จึงฝากให้ผู้ว่าฯ ทางจังหวัด ช่วยยับยั้งพฤติกรรมของผู้ใหญ่บ้านรายหนึ่ง รวมถึงผู้นำชมชนบางคนด้วย เพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่มาช่วยกันปกปิดข้อมูลเพื่อช่วยเหลือคนผิด จนชาวบ้านต้องพากันอยู่แบบหวาดผวา และเกรงจะเกิดเหตุกับลูกหลานในชุมชนอีก.