โพสต์โดย : วรัญญู บุตรรินทร์ เมื่อ 26 ม.ค. 2566 16:08:31 น. เข้าชม 166398 ครั้ง
วันที่ 25 ม.ค. 2566 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า หลังจากตนลงนามประกาศยกเลิกระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ขณะนี้ ศธ.ได้ยกร่างแนวนโยบายเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนของสถานศึกษาไว้ เพื่อให้สถานศึกษากำหนดลักษณะทรงผมความสั้น-ยาว การดัด ย้อม ไว้หนวด ไว้เครา ได้ตามพันธกิจ บริบท และความเหมาะสมของแต่ละสถานศึกษานั้น
น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า เหตุที่ยกเลิกมาจากเสียงเรียกร้องให้มีการแก้ไขปรับปรุงระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ศธ.จึงพยายามหากลไก เพื่อให้แต่ละโรงเรียน แต่ละพื้นที่สามารถวางกฎระเบียบและจัดการการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ได้ และเพื่อให้นักเรียนได้เรียนอย่างมีความสุข ศธ.จึงได้มีหนังสือหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียน
น.ส.ตรีนุช กล่าวอีกว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่า รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดอาจอาศัยอำนาจตามมาตรา 12 ประกอบกับมาตรา 39 (1) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 กำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดนำไปปฏิบัติได้ ตนจึงยกเลิกระเบียบดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจุบันมากขึ้น เพราะแต่ละโรงเรียนก็มีบริบท มีอัตลักษณ์ มีเป้าหมายการจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างกันไป
น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า เมื่อศธ.ให้อิสระกับโรงเรียนไปออกแนวปฏิบัติเรื่องทรงผมแล้ว ต่อไปโรงเรียนจะต้องนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และนักเรียน เพื่อมาวางแนวปฏิบัติร่วมกันว่าโรงเรียนเรามีเป้าหมาย มีวิสัยทัศน์อะไร จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีความเข้มงวดในเรื่องของทรงผม เพราะ ศธ.มองว่าการจัดการศึกษาไม่ควรจะมีสูตรตายตัว ควรจะมีความยืดหยุ่น หลากหลาย และสอดรับกับบริบทของแต่ละโรงเรียน
น.ส.ตรีนุช กล่าวอีกว่า อย่างโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีประมาณ 30,000 แห่ง แต่ละโรงเรียนก็จะมีเป้าหมาย มีวิสัยทัศน์ของตน การยกเลิกระเบียบว่าด้วยทรงนักเรียนไป โรงเรียนก็จะมีความยืดหยุ่นสามารถกำหนดระเบียบให้สอดคล้องกับบริบท อัตลักษณ์ของตนได้
เมื่อถามว่า มีนักเรียนกังวลเมื่อกระจายอำนาจให้โรงเรียน โรงเรียนอาจจะกำจัดสิทธิของนักเรียนเพิ่มมากขึ้น เพราะอาจจะไปออกระเบียบที่เคร่งมากกว่าเดิม น.ส.ตรีนุช กล่าว่า การปลดล็อกครั้งนี้ ศธ.มีเป้าหมายและเจตนา คือ ไม่อยากให้เรื่องของทรงผมเป็นกรอบในการพัฒนาเยาวชน ไม่อยากให้เป็นกรอบในการเรียนรู้และจำกัดความสุขของเด็ก ต่อไป ศธ.จะออกแนวนโยบายเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนของสถานศึกษาไว้ เพื่อที่จะให้โรงเรียนนำไปปฏิบัติตามได้
เมื่อข่าวถามว่า เด็กกังวลว่าต่อไปหากโรงเรียนออกกฎทรงผมที่เข้มมากขึ้น อาจจะมีการละเมิดสิทธิเด็ก และทำโทษเด็กด้วยการกล้อนผมมากขึ้น น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า ตนมองว่าเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องระเบียบทรงผมเป็นเรื่องหนึ่ง และเรื่องการลงโทษนักเรียนที่ครูอาจจะกล้อนผมนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
น.ส.ตรีนุช กล่าวอีกว่า ศธ.มองว่าแนวทางการลงโทษนักเรียนด้วยหารกล้อนผมเป็นแนวทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ครูไม่ควรจะไปทำเช่นนั้นกับเด็ก ปกติแล้วเวลานักเรียนทำผิดโรงเรียนก็จะกำหนดการลงโทษไว้อยู่แล้วว่านักเรียนจะได้รับโทษแบบใด เช่น ทำความเข้าใจกับเด็ก เรียกพบทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง หรือหักคะแนนความประพฤติ เป็นต้น
ด้านตัวแทนนักเรียนหญิง ชั้น ม.3 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ น.ส.ตรีนุช ยกเลิกระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 และให้อำนาจโรงเรียนไปกำหนดแนวปฏิบัติ หรือระเบียบที่เกี่ยวกับทรงผมของตน เพราะโรงเรียนอาจจะออกระเบียบที่เข้มมากกว่าเดิม และเราจะไม่สามารถเรียกร้องสิทธิของเราได้มากพอ อยากให้ ศธ. ออกระเบียบแบบกว้างๆ ว่าให้อิสระเรื่องทรงผม ให้นักเรียนไว้สั้น หรือยาว หรือทำสีม ได้ตามความเหมาะสมเพื่อให้โรงเรียนไปปฏิบัติตาม ดีกว่าให้โรงเรียนไปออกระเบียบเอง
“ถ้าให้โรงเรียนออกระเบียบทรงผมเอง ท้ายที่สุดแล้ว โรงเรียนจะพูดคุยกับอาจารย์ที่เกี่ยวข้อง หารือผู้ปกครองเพื่อไปกำหนดระเบียบกันเอง ไม่มีการรับฟังความคิดเห็นนักเรียนแน่นอน กลัวว่าถ้าโรงเรียนกำหนดระเบียบทรงผมเอง จะมีการตัดผม กล้อนผม ลงโทษเด็ก และลิดรอนสิทธิเด็กเพิ่มมากขึ้นแน่นอน ขนาดปัจจุบันที่มีระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ก็ยังเห็นข่าวครูตัดผม กล้อนผมเด็กอยู่เป็นประจำ” ตัวแทนนักเรียนกล่าว
ขอบคุณที่มา : https://www.khaosod.co.th/politics/news_7476162